เมนู

ฉะนี้. พวกพรหมได้ให้เรือนยอดแก่พวกเทวดา พวกเทวดาได้ให้เรือนยอดแก่
ช้างทั้งหลายตามเดิม โดยลำดับด้วยประการฉะนี้อีก. เทวดาแต่ละองค์ได้นำ
ท่อนจันทน์ประมาณ 4 องคุลีมา. ได้มีจิตกาธารประมาณ 9 โยชน์. พวกเทวดา
ยกเรือนยอดขึ้นสู่จิตกาธาร. ภิกษุประมาณ 500 รูป เหาะมาสาธยายตลอดคืน.
พระอนุรุทธเถระแสดงธรรม. เทวดาเป็นอันมากได้ตรัสรู้ธรรม. วันรุ่งขึ้น
เวลาอรุณขึ้นนั่นเอง เทวดาทั้งหลายให้ดับจิตกาธารแล้ว เอาพระธาตุมีสีดังดอก
มะลิตูมบรรจุผ้ากรองน้ำ นำมาวางไว้ในพระหัตถ์ของพระศาสดา ในเมื่อ
พระองค์เสด็จออกถึงซุ้มประตูพระวิหารเวฬุวัน. พระศาสดาทรงรับผ้ากรองน้ำ
บรรจุพระธาตุแล้ว ทรงเหยียดพระหัตถ์ไปที่แผ่นดิน. พระเจดีย์เหมือนฟองเงิน
ชำแรกแผ่นดินใหญ่ออกมา. พระศาสดาทรงบรรจุพระธาตุในพระเจดีย์ด้วย
พระหัตถ์ของพระองค์. ได้ยินว่า พระเจดีย์นั้นก็ยังดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้แล.
จบอรรถกถาโกณฑัญญสูตรที่ 9

10. โมคคัลลานสูตร

พระวังคีสะสรรเสริญพระโมคคัลานะ



[754] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ กาฬสิลา ข้างภูเขา
อิสิคิลิ กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ 500 รูป ล้วนเป็น
พระอรหันต์ทั้งหมด.
ได้ยินว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานะตามพิจารณาจิตอันหลุดพ้นพิเศษ
(จากกิเลส) อันหาอุปธิมิได้ ของภิกษุเหล่านั้นด้วยจิตอยู่.
[755] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะมีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้านี้แลประทับที่กาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วย

ภิกษุสงฆ์หมู่ให้ ประมาณ 500 รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ท่าน
พระมหาโมคคลัลานะก็ตามพิจารณาจิตอันหลุดพ้นพิเศษ (จากกิเลส) อันหา
อุปธิมิได้ของภิกษุเหล่านั้นด้วยจิตอยู่ อย่ากระนั้นเลย เราพึงชมเชยท่านพระ-
มหาโมคคัลลานะ เฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลาย
อันสมควรเถิด.
ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะลุกขึ้นจากอาสนะ ทำผ้าห่มเฉวียงบ่า
ข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับแล้ว ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้ง
กะข้าพระองค์ ข้าแต่พระสุคต เนื้อความนี้ย่อมแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เนื้อความนั่นจงแจ่มแจ้งกะเธอเถิด วังคีสะ.
[756] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ ได้ชมเชยท่านพระมหาโมค-
คัลลานะ เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลายอันสมควรว่า
พระสาวกทั้งหลายผู้สำเร็จไตรวิชชา
ผู้ละมฤตยูเสียได้ ย่อมนั่งห้อมล้อมพระมุนี
ผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์ ซึ่งประทับนั่งอยู่ที่ข้าง
แห่งภูเขา พระมหาโมคคัลานะผู้มีฤทธิ์
มาก ย่อมสอดส่องพระสาวกเหล่านั้น
ด้วยจิต ตามพิจารณาจิตอันหลุดพ้นพิเศษ
แล้ว อันหาอุปธิมิได้ของพระสาวกเหล่า-
นั้นอยู่ พระสาวกทั้งหลายย่อมนั่งห้อมล้อม
พระโคดม ผู้เป็นมุนี ซึ่งสมบูรณ์ด้วย
พระคุณทั้งปวงอย่างนี้ ผู้ลงฝั่งแห่งทุกข์
ผู้ประกอบด้วยพระคุณเป็นอเนกประการ
ดั้งนี้.

อรรรถกถาโมคคัลลานสูตร



ในโมคคัลลานสูตรที่ 10 มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
บทว่า สมนฺเวสติ ได้แก่แสวงหา คือพิจารณา. บทว่า นคสฺส
ได้แก่ ภูเขา. บทว่า มุนึ ได้แก่พุทธมุนี. บทว่า ทุกฺขสฺส ปารคุํ ได้แก่
ผู้ถึงฝั่งแห่งทุกข์. บทว่า สมนฺเวสํ ได้แก่พิจารณาอยู่. บทว่า เอวํ
สพฺพงฺคสมฺปนฺนํ
ได้แก่สมบูรณ์ด้วยคุณทั้งปวง ด้วยอาการอย่างนี้. บทว่า
อเนการสมฺปนฺนํ ได้แก่ ประกอบด้วยคุณมากมาย.
จบอรรถกถาโมคคัลลานสูตรที่ 10

11. คัคคราสูตร



ว่าด้วยพระวังคีสะสรรเสริญพระพุทธเจ้า



[757] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่ริมฝั่งสระบัว
ชื่อว่าคัคครา นครจัมปา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป
อุบาสกประมาณ 700 คน และเทวดาหลายพันองค์.
นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ารุ่งเรื่องล่วงภิกษุ อุบาสกและเทวดา
เหล่านั้น ด้วยพระวรรณะและด้วยพระยศ.
[758] ครั้งนั้นแล ท่านพระวังคีสะ มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มี-
พระภาคเจ้านี้แล ประทับอยู่ที่ฝั่งสระบัวชื่อว่าคัคครา นครจัมปา พร้อมด้วย
ภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ 500 รูป อุบาสกประมาณ 700 คน และเทวดา
หลายพันองค์ นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ารุ่งเรื่องล่วงภิกษุ อุบาสกและเทวดา
เหล่านั้น ด้วยพระวรรณะและด้วยพระยศ อย่ากระนั้นเลย เราพึงชมเชย
พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่เฉพาะพระพักตร์ ด้วยคาถาอันสมควรเถิด.